วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

Billy Elliot (2000)

**เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง**

Billy Elliot ภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ กำกับโดย Stephen Daldry เรื่องนี้ได้รางวัลจาก BAFTA และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และยังเป็นที่นิยม นำไปทำใหม่เป็น musical ด้วย

ถ้าหากตัดสินจากแค่ปก DVD คงคิดว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดูยาก เพราะ ภาพปกและชื่อเรื่องก็ออกจะดูเก่าๆ แต่ความจริงก็ไม่เก่าเท่าไหร่ แค่ปี 2000 นี่เอง
Billy Elliot (นำแสดงโดย Jamie Bell; ได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก BAFTA) เด็กชายวัย 11 ปี ที่ชื่นชอบเสียงเพลง และการเต้น เราจะเห็นตั้งแต่ฉากแรกของภาพยนตร์ และตลอดเรื่องว่าเขามีความสุขเมื่อได้เต้น

แต่ชีวิต Billy ก็ไม่ได้ราบรื่นซักเท่าไหร่ เพราะ เขาดันเติบโตมาในครอบครัวที่เหลือแต่คุณพ่อที่ในหัวมีแต่เรื่องเหมือง, พี่ชายที่ออกจะอารมณ์ร้อนตามประสาวัยรุ่น, และคุณย่าที่เป็นอัลไซเมอร์
คุณพ่อ (นำแสดงโดย Gary Lewis) และพี่ชาย (นำแสดงโดย Jamie Draven) เป็นคนงานเหมืองในเมือง Durham
ที่กำลังตรึงเครียดกับเหตุการณ์ลดค่าแรงของคนงานเหมือง จนสหภาพแรงงานตัดสินใจหยุดงานประท้วง ทำให้ในช่วงเวลานั้นครอบครัวของ Billy แทบจะไม่มีรายได้เลย

แต่โชคชะตาก็ไม่ได้โหดร้ายกับ Billy จนเกินไป เพราะ สหภาพแรงงาน ต้องใช้พื้นที่ในโรงยิม ทำให้คลาสบัลเลย์ที่แต่เดิมซ้อมอยู่อีกโซนหนึ่ง ต้องมาซ้อมในยิมร่วมกับคลาสมวยของ Billy
Billy จึงได้พบกับ Mrs. Wilkinson (นำแสดงโดย Julie Walters; ได้รางวัลนักแสดงสมทบหญิงจาก BAFTA และเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ) ครูสอนบัลเลย์ที่มองเห็นความชอบ และศักยภาพของเขา

แต่คุณพ่อและพี่ชายก็ไม่ยอมให้ Billy ไปเรียนบัลเลย์ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายไม่ปฏิบัติกัน
ตัว Billy เอง พอรู้ว่าครอบครัวไม่สนับสนุน ก็เหมือนไม่กล้าที่จะเต้นให้คนในครอบครัวเห็น ได้แต่แอบเต้นที่อื่น
จนเมื่อคุณครูมาขอร้องให้ครอบครัวพา Billy ไปสอบเข้าโรงเรียนบัลเลย์ที่ลอนดอน คุณพ่อและพี่ชายก็พาลไปโกรธคุณครูไปอีก คิดว่าคุณครูหลอกให้ Billy เต้นบัลเลย์ แทนที่จะให้เรียนมวยอย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่ปฏิบัติกัน
Billy รู้สึกกดดันจากเหตุการณ์นี้มาก จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว และเต้นเพื่อปลดปล่อยทุกอย่าง
คุณพ่อและพี่ชายจึงได้รู้ว่า Billy ชอบเต้นจริงๆ ความคิดของทั้ง 2 คนก็เปลี่ยนไป

สำหรับเรื่องนี้มีคำถามที่เป็นที่พูดถึงมากหน่อย คือ Billy มีความเบี่ยงเบนทางเพศหรือเปล่า?
เพราะ Billy ชอบการเต้นบัลเลย์ที่ครอบครัวและหลายๆคนมองว่าเป็นกิจกรรมของผู้หญิง
เพราะ Billy มีเพื่อนสนิทเป็นเด็กชายที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ และเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย
แต่ไม่ว่า Billy จะมีความเบี่ยงเบนทางเพศหรือไม่ ทั้งพ่อและพี่ชายก็พร้อมจะสนับสนุนในสิ่งที่เขาเป็น และสิ่งที่เขาชอบ
สำหรับเรา เรายังไม่แน่ใจว่า Billy มีความเบี่ยงเบนทางเพศหรือเปล่า
เพราะ เราเห็นว่าในวัย 11 ปีของเขา เขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเต้นเป็นส่วนใหญ่ จนไม่ทันได้สนใจเรื่องอื่นๆ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการซ้อมเต้น แต่ Billy ก็เป็นคนที่เปิดกว้างกับเรื่องพวกนี้พอสมควร

สิ่งที่เราชอบที่สุดสำหรับเรื่องนี้เรื่องนี้ก็คงจะเป็นนักแสดง Jamie Well ที่ตอนนั้นอายุเพียง 11 ปี
แต่เต้นได้เก่งมากๆ ทุกฉากที่ Jamie เต้น สามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด
เขาทำให้เรารู้สึกว่าเขารักการเต้นมากๆ และก็มีความสามารถที่รอการขัดเกลาอยู่
ถ้าเราเป็นครูแล้วเราเห็นความสามารถ และความหลงใหลในการเต้นของ Billy เราก็คงอยากสนับสนุนเขาอยู่เหมือนกัน

แต่ความพิเศษนิดหน่อยของเรื่องนี้ คือทำให้คิดถึงสมัยที่คุณพ่อเคยนั่งรถบัสจากเชียงใหม่เพื่อมาส่งเราสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และคุณแม่ที่เคยนั่งรถไฟจากเชียงใหม่มาส่งเรารายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัย
ก็ตอนนั้นค่าเครื่องบินมันแพงมากเลยนี่น่า

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

Before Sunrise (1995)

**เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง**

ภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิคขึ้นหิ้ง ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ภาพยนตร์ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงอยู่เรื่อยๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายครั้งแรกตั้งแต่ปี 1995 การันตีด้วย 100% Rotten Tomatoes จึงคาดหวังกับเรื่องนี้มาก ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำได้ดีในความเป็นภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิค ถ้าจะมีใครถามว่าภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิคเป็นอย่างไร ก็จะตอบว่าเป็นแบบ Before Sunrise (1995) และถ้าจะมีใครให้แนะนำภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิค ก็คงจะต้องแนะนำเรื่องนี้แน่นอน

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Richard Linklater บอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่พบกันโดยบังเอิญบนรถไฟ ความโรแมนติคเริ่มขึ้นตั้งแต่การพบเจอกันของหนุ่มสาวทั้งสอง ที่ไม่น่าจะได้เจอกันได้ เพราะ พระเอก Jesse (Ethan Hawke) เป็นชาวอเมริกา ส่วนนางเอก Celine (Julie Delpy)  เป็นสาวฝรั่งเศส ทั้งสองนั่งรถไฟในโบกี้เดียวกัน ทั้งสองจดจ่ออยู่กับกิจกกรมที่ตัวเองทำอยู่ จนมีผู้ร่วมทางกลุ่มหนึ่งส่งเสียงดังขึ้นมา ทำให้ทั้งสองมองไปทางเดียวกัน และได้สบตากัน ตรงนี้องก็เป็นอีกความโรแมนติค เพราะ ถ้าหากทั้งคู่ไม่มองไปยังจุดเดียวกัน ทั้งคู่ก็จะไม่ได้พบกัน และจะไม่มีเรื่องราวรักแรกพบท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติคของกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

Jesse นั่งรถไฟเพื่อจะไปสนามบิน เพื่อบินกลับอเมริกาในวันพรุ่งนี้ ส่วน Celine นั่งรถไฟเพื่อกลับบ้านของเธอในฝรั่งเศส หลังจากสบตากันแล้ว ทั้งคู่ก็ได้ใช้เวลาในรถไฟนั้นพูดคุยกันอย่างถูกคอ จนถึงกรุงเวียนนา Jesse ต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟที่นี่ ก่อนที่รถไฟจะออกจากชานชาลาของสถานีเวียนนา Jesse ตัดสินใจชวน Celine แวะเมืองเวียนนาด้วยกัน Celine ก็ตอบตกลงแทบจะทันที ที่เหลือก็เป็นการใช้เวลาร่วมกันของทั้งคู่หนึ่งคืนในภาพบรรยากาศสวยๆของเมืองเวียนนา ก่อนที่ทั้งสองจะต้องแยกย้ายไปคนละทางในตอนเช้า และอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย  

อาจจะพูดได้ว่า เพราะพรหมลิขิตทำให้หนุ่มสาวที่อยู่คนละทวีปได้มาพบรักกันได้ แค่เพียงจังหวะการสบตาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ทำให้ความสัมพันธ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ได้ก่อตัวขึ้นมา
ซึ่งเราไม่ค่อยชอบภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิคซักเท่าไหร่ เพราะ การเดินเรื่องมันออกจะเนือยเกินไป และตัวบทก็ออกจะคลาสสิคเกินไป และเราก็เป็นคนที่เติบโตในยุคที่โลกาภิวัตน์แล้ว การติดต่อสื่อสารก็ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ทำให้เราไม่ค่อยจะอินกับความคลาสสิคบางอย่างที่ดูล้าสมัย

Before Sunrise (1995) มีภาคต่อ คือ Before Sunset (2004) และ Before Midnight (2013) ซึ่งใช้ผู้กำกับ และพระเอกนางเอกชุดเดิมเลย แต่เรายังไม่ได้ดู เพราะกลัวจะเบื่ออีก แต่ถ้ามีเวลาก็คงจะหามาดู เพราะมันเป็นภาพยนตร์คลาสสิค 55


เราชอบภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องราวของการใช้ค่ำคืนร่วมกันของหนุ่มสาวแปลกหน้าคล้ายๆเรื่องนี้ แต่บทจะโมเดิร์นกว่า คือ เรื่อง Nick & Norah's Infinite Playlist (2008) มากกว่า น่าจะเพราะ ใกล้เคียงกับยุคที่เราเติบโตมามากกว่า แต่สำหรับคนที่ชอบภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิค Before Sunrise (1995) ถือเป็นเรื่องที่ต้องดู