วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Carol (2015)

ภาพยนตร์ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง The Price of Salt หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อ Carol
เรื่องนี้กำกับโดย  Todd Haynes นำแสดงโดย Cate Blanchett (คาโรล) และ Rooney Mara (เทเรซ)
ไม่ต้องแปลกใจที่นักแสดงนำของเรื่องนี้ทั้งสองคนเป็นผู้หญิง เพราะ เรื่องนี้เป็นเรื่องราว Romantics Drama ระหว่างผู้หญิงสองคน โดยมีฉากหลังเป็นเมือง New York ในช่วง 1950s 

เทเรซ เด็กสาวอายุเพียง 19 ปี ทำงานพิเศษอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง New York ณ ขณะนั้นเทเรซมีแฟนที่เธอไม่เคยรู้สึกรัก 
ส่วน คาโรล เป็นสาวใหญ่ที่ชีวิตคู่ล้มเหลว คาโรลกำลังจะหย่ากับฮาร์ค สามีของเธอ และอยู่ระหว่างตกลงสิทธิเลี้ยงดู รินดี้ลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่ 
เทเรซ และคาโรลพบกันครั้งแรกที่ห้างสรรพสินค้าที่เทเรซทำงานพิเศษอยู่ คาโรลมาหาซื้อของขวัญคริสต์มาสให้รินดี้ เทเรซตกหลุมรักคาโรลทันทีตั้งแต่แรกเห็น เทเรซหาเรื่องเพื่อที่จะได้ติดต่อกับคาโรลอีกครั้ง ตัวคาโรลเองก็ดูจะหวั่นไหวกับความไร้เดียงสาของเทเรซอยู่ไม่น้อย 

ก่อนจะถึงวันที่ศาลจะตัดสินสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกในช่วงต้นปี ฮาร์ค(สามีของคาโรล) ได้กล่าวหาคาโรลว่ามีพฤติกรรมที่ immorality จากพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน เพื่อจะได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกแต่เพียงผู้เดียว ฮาร์คต้องการใช้สิทธิ์เลี้ยงดูรินดี้แต่เพียงผู้เดียว เพื่อให้คาโรลต้องกลับมาหาเค้า หากคาโรลอยากพบรินดี้ คาโรลจึงชวนเทเรซออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังอีกฟากหนึ่งของอเมริกา เมื่อสองสาวเริ่มออกเดินทาง เรื่องราวความสัมพันธ์ของสองสาว และของคนอื่นๆ ก็ออกเดินทางไปด้วยกัน เป็นการเล่าเรื่องราวแบบ road movie ยิ่งเดินทางไปมากเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ก็ยิ่งมากขึ้นตามระยะทางของการเดินทางนั่นเอง
เรื่องนี้ชอบการกำกับภาพมาก ภาพโดยรวมตลอดทั้งเรื่องสวยมาก ทั้ง posture ของนักแสดง ตำแหน่งของนักแสดง เสื้อผ้าที่นักแสดงใส่ สถานที่ ตัวประกอบโดยรวมทั้งเรื่องดูลื่นตามาก และยังมีหลายฉากที่เป็นฉากที่มีพลัง ทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้มากจริงๆ

เรื่องนี้จึงอยากเขียนถึงฉากประทับใจที่คัดมาทั้งหมด 3 ฉาก (เรียงตามลำดับเหตุการณ์)

1. ฉากที่คาโรลชวนเทเรซไปที่บ้านครั้งแรก
- ลังเลอยู่ระหว่างฉากนี้ กับฉากที่คาโรลชวนเทเรซออกเดินทางท่องเที่ยว เพราะ ทุกฉากที่คาโรลชวนเทเรซไปไหน มันจะมีจังหวะสั้นๆที่เราเห็นความประหม่าของคาโรล คาโรลสาวใหญ่ที่โดยรวมแล้วดูแข็งแกร่ง ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองอย่างกล้าหาญ แต่เมื่อต้องออกปากชวนเทเรซ กลับต้องมีอาการประหม่าอยู่เสมอ ในตลอดช่วงชีวิตของคาโรลคงเคยตกหลุมรักมาแล้วหลายครั้ง แต่การตกหลุมรักครั้งนี้ก็ยังคงทำให้คาโรลประหม่าได้เช่นเคย ซึ่งเราว่ามันน่ารักดี

2. ฉากที่เทเรซให้ของขวัญวัน Christmas แก่คาโรลในร้านอาหาร
- ฉากนี้เป็นฉากที่ดูน่ารัก และนักแสดงทั้งสองคนแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ และลื่นไหลมาก โดยเฉพาะตอนที่เทเรซเผลอแตะเนื้อต้องตัวคาโรล

3. ฉากที่แคโรลพูดความในใจ หลังจากที่เทเรซปฏิเสธคำชวน
- เป็นฉากที่ประทับใจที่สุด และคิดว่าน่าจะติด Top10 ฉากประทับใจสำหรับเราด้วย เพราะ เป็นฉากที่เรารู้เรื่องราวอยู่แล้ว (เพราะ เคยอ่านหนังสือมาแล้ว และฉากที่ประทับใจจาการอ่านหนังสือไม่ใช่ฉากนี้) แต่นักแสดง ดนตรี และการกำกับภาพโดยรวมทำออกมาให้เรารู้สึกร่วมได้มากๆ ว่าคาโรล หมายความตามสิ่งที่เธอพูดจริงๆ


วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

Billy Elliot (2000)

**เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง**

Billy Elliot ภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ กำกับโดย Stephen Daldry เรื่องนี้ได้รางวัลจาก BAFTA และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และยังเป็นที่นิยม นำไปทำใหม่เป็น musical ด้วย

ถ้าหากตัดสินจากแค่ปก DVD คงคิดว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดูยาก เพราะ ภาพปกและชื่อเรื่องก็ออกจะดูเก่าๆ แต่ความจริงก็ไม่เก่าเท่าไหร่ แค่ปี 2000 นี่เอง
Billy Elliot (นำแสดงโดย Jamie Bell; ได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก BAFTA) เด็กชายวัย 11 ปี ที่ชื่นชอบเสียงเพลง และการเต้น เราจะเห็นตั้งแต่ฉากแรกของภาพยนตร์ และตลอดเรื่องว่าเขามีความสุขเมื่อได้เต้น

แต่ชีวิต Billy ก็ไม่ได้ราบรื่นซักเท่าไหร่ เพราะ เขาดันเติบโตมาในครอบครัวที่เหลือแต่คุณพ่อที่ในหัวมีแต่เรื่องเหมือง, พี่ชายที่ออกจะอารมณ์ร้อนตามประสาวัยรุ่น, และคุณย่าที่เป็นอัลไซเมอร์
คุณพ่อ (นำแสดงโดย Gary Lewis) และพี่ชาย (นำแสดงโดย Jamie Draven) เป็นคนงานเหมืองในเมือง Durham
ที่กำลังตรึงเครียดกับเหตุการณ์ลดค่าแรงของคนงานเหมือง จนสหภาพแรงงานตัดสินใจหยุดงานประท้วง ทำให้ในช่วงเวลานั้นครอบครัวของ Billy แทบจะไม่มีรายได้เลย

แต่โชคชะตาก็ไม่ได้โหดร้ายกับ Billy จนเกินไป เพราะ สหภาพแรงงาน ต้องใช้พื้นที่ในโรงยิม ทำให้คลาสบัลเลย์ที่แต่เดิมซ้อมอยู่อีกโซนหนึ่ง ต้องมาซ้อมในยิมร่วมกับคลาสมวยของ Billy
Billy จึงได้พบกับ Mrs. Wilkinson (นำแสดงโดย Julie Walters; ได้รางวัลนักแสดงสมทบหญิงจาก BAFTA และเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ) ครูสอนบัลเลย์ที่มองเห็นความชอบ และศักยภาพของเขา

แต่คุณพ่อและพี่ชายก็ไม่ยอมให้ Billy ไปเรียนบัลเลย์ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายไม่ปฏิบัติกัน
ตัว Billy เอง พอรู้ว่าครอบครัวไม่สนับสนุน ก็เหมือนไม่กล้าที่จะเต้นให้คนในครอบครัวเห็น ได้แต่แอบเต้นที่อื่น
จนเมื่อคุณครูมาขอร้องให้ครอบครัวพา Billy ไปสอบเข้าโรงเรียนบัลเลย์ที่ลอนดอน คุณพ่อและพี่ชายก็พาลไปโกรธคุณครูไปอีก คิดว่าคุณครูหลอกให้ Billy เต้นบัลเลย์ แทนที่จะให้เรียนมวยอย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่ปฏิบัติกัน
Billy รู้สึกกดดันจากเหตุการณ์นี้มาก จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว และเต้นเพื่อปลดปล่อยทุกอย่าง
คุณพ่อและพี่ชายจึงได้รู้ว่า Billy ชอบเต้นจริงๆ ความคิดของทั้ง 2 คนก็เปลี่ยนไป

สำหรับเรื่องนี้มีคำถามที่เป็นที่พูดถึงมากหน่อย คือ Billy มีความเบี่ยงเบนทางเพศหรือเปล่า?
เพราะ Billy ชอบการเต้นบัลเลย์ที่ครอบครัวและหลายๆคนมองว่าเป็นกิจกรรมของผู้หญิง
เพราะ Billy มีเพื่อนสนิทเป็นเด็กชายที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ และเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย
แต่ไม่ว่า Billy จะมีความเบี่ยงเบนทางเพศหรือไม่ ทั้งพ่อและพี่ชายก็พร้อมจะสนับสนุนในสิ่งที่เขาเป็น และสิ่งที่เขาชอบ
สำหรับเรา เรายังไม่แน่ใจว่า Billy มีความเบี่ยงเบนทางเพศหรือเปล่า
เพราะ เราเห็นว่าในวัย 11 ปีของเขา เขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเต้นเป็นส่วนใหญ่ จนไม่ทันได้สนใจเรื่องอื่นๆ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการซ้อมเต้น แต่ Billy ก็เป็นคนที่เปิดกว้างกับเรื่องพวกนี้พอสมควร

สิ่งที่เราชอบที่สุดสำหรับเรื่องนี้เรื่องนี้ก็คงจะเป็นนักแสดง Jamie Well ที่ตอนนั้นอายุเพียง 11 ปี
แต่เต้นได้เก่งมากๆ ทุกฉากที่ Jamie เต้น สามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด
เขาทำให้เรารู้สึกว่าเขารักการเต้นมากๆ และก็มีความสามารถที่รอการขัดเกลาอยู่
ถ้าเราเป็นครูแล้วเราเห็นความสามารถ และความหลงใหลในการเต้นของ Billy เราก็คงอยากสนับสนุนเขาอยู่เหมือนกัน

แต่ความพิเศษนิดหน่อยของเรื่องนี้ คือทำให้คิดถึงสมัยที่คุณพ่อเคยนั่งรถบัสจากเชียงใหม่เพื่อมาส่งเราสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และคุณแม่ที่เคยนั่งรถไฟจากเชียงใหม่มาส่งเรารายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัย
ก็ตอนนั้นค่าเครื่องบินมันแพงมากเลยนี่น่า

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

Before Sunrise (1995)

**เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง**

ภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิคขึ้นหิ้ง ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ภาพยนตร์ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงอยู่เรื่อยๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายครั้งแรกตั้งแต่ปี 1995 การันตีด้วย 100% Rotten Tomatoes จึงคาดหวังกับเรื่องนี้มาก ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำได้ดีในความเป็นภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิค ถ้าจะมีใครถามว่าภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิคเป็นอย่างไร ก็จะตอบว่าเป็นแบบ Before Sunrise (1995) และถ้าจะมีใครให้แนะนำภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิค ก็คงจะต้องแนะนำเรื่องนี้แน่นอน

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Richard Linklater บอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่พบกันโดยบังเอิญบนรถไฟ ความโรแมนติคเริ่มขึ้นตั้งแต่การพบเจอกันของหนุ่มสาวทั้งสอง ที่ไม่น่าจะได้เจอกันได้ เพราะ พระเอก Jesse (Ethan Hawke) เป็นชาวอเมริกา ส่วนนางเอก Celine (Julie Delpy)  เป็นสาวฝรั่งเศส ทั้งสองนั่งรถไฟในโบกี้เดียวกัน ทั้งสองจดจ่ออยู่กับกิจกกรมที่ตัวเองทำอยู่ จนมีผู้ร่วมทางกลุ่มหนึ่งส่งเสียงดังขึ้นมา ทำให้ทั้งสองมองไปทางเดียวกัน และได้สบตากัน ตรงนี้องก็เป็นอีกความโรแมนติค เพราะ ถ้าหากทั้งคู่ไม่มองไปยังจุดเดียวกัน ทั้งคู่ก็จะไม่ได้พบกัน และจะไม่มีเรื่องราวรักแรกพบท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติคของกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

Jesse นั่งรถไฟเพื่อจะไปสนามบิน เพื่อบินกลับอเมริกาในวันพรุ่งนี้ ส่วน Celine นั่งรถไฟเพื่อกลับบ้านของเธอในฝรั่งเศส หลังจากสบตากันแล้ว ทั้งคู่ก็ได้ใช้เวลาในรถไฟนั้นพูดคุยกันอย่างถูกคอ จนถึงกรุงเวียนนา Jesse ต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟที่นี่ ก่อนที่รถไฟจะออกจากชานชาลาของสถานีเวียนนา Jesse ตัดสินใจชวน Celine แวะเมืองเวียนนาด้วยกัน Celine ก็ตอบตกลงแทบจะทันที ที่เหลือก็เป็นการใช้เวลาร่วมกันของทั้งคู่หนึ่งคืนในภาพบรรยากาศสวยๆของเมืองเวียนนา ก่อนที่ทั้งสองจะต้องแยกย้ายไปคนละทางในตอนเช้า และอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย  

อาจจะพูดได้ว่า เพราะพรหมลิขิตทำให้หนุ่มสาวที่อยู่คนละทวีปได้มาพบรักกันได้ แค่เพียงจังหวะการสบตาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ทำให้ความสัมพันธ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ได้ก่อตัวขึ้นมา
ซึ่งเราไม่ค่อยชอบภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิคซักเท่าไหร่ เพราะ การเดินเรื่องมันออกจะเนือยเกินไป และตัวบทก็ออกจะคลาสสิคเกินไป และเราก็เป็นคนที่เติบโตในยุคที่โลกาภิวัตน์แล้ว การติดต่อสื่อสารก็ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ทำให้เราไม่ค่อยจะอินกับความคลาสสิคบางอย่างที่ดูล้าสมัย

Before Sunrise (1995) มีภาคต่อ คือ Before Sunset (2004) และ Before Midnight (2013) ซึ่งใช้ผู้กำกับ และพระเอกนางเอกชุดเดิมเลย แต่เรายังไม่ได้ดู เพราะกลัวจะเบื่ออีก แต่ถ้ามีเวลาก็คงจะหามาดู เพราะมันเป็นภาพยนตร์คลาสสิค 55


เราชอบภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องราวของการใช้ค่ำคืนร่วมกันของหนุ่มสาวแปลกหน้าคล้ายๆเรื่องนี้ แต่บทจะโมเดิร์นกว่า คือ เรื่อง Nick & Norah's Infinite Playlist (2008) มากกว่า น่าจะเพราะ ใกล้เคียงกับยุคที่เราเติบโตมามากกว่า แต่สำหรับคนที่ชอบภาพยนตร์โรแมนติคคลาสสิค Before Sunrise (1995) ถือเป็นเรื่องที่ต้องดู

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

The Maze Runner (2014)

The Maze Runner ภาพยนตร์จากหนังสือนิยายชื่อเดียวกัน The Maze Runner ของ James Dashner (2009) โดยภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับ Wes Ball

เรื่องนี้มีตัวละครเป็นวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบริเวณชนบทเล็กๆ ที่มีเขาวงกตขวางกั้นจนพวกเขาไม่สามารถออกไปจากบริเวณนี้ได้ ในเขาวงกตมีสัตว์ดุร้ายอาศัยอยู่ ปากทางเขาวงกตจะเปิดเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และจะปิดเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าหากออกจากเขาวงกตไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินแล้ว แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดได้เลย พวกเขาจึงต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในบริเวณนั้น แบ่งงานกันทำ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้ และทุกเช้าตรู่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ผู้ที่แข็งแรงที่สุด และวิ่งเร็วที่สุด จะถูกส่งเข้าไปสำรวจในเขาวงกต เพื่อหาคำตอบว่าอีกฝั่งหนึ่งของเขาวงกตเป็นเช่นไร

จนเมื่อวันที่ ไมเคิล (Dylan O’Brien) ถูกส่งเข้าไปในบริเวณนั้น เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของคนอื่นๆที่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน เขาต้องการหนีออกจากเขาวงกตนั่นให้ได้ เขาจึงอาสาที่จะเข้าไปวิ่งหาทางออกในเขาวงกต กับมินโฮ (Ki Hong Lee) ผู้ที่มีหน้าที่ในการหาทางออกจากเขาวงกตอยู่แล้ว แต่ก็ต้องมารู้ความจริงจากมินโฮที่ว่าเขาวงกตนี้ไม่มีทางออก และยิ่งเขาดื้อดึงจะสำรวจเขาวงกตมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ สัตว์ร้ายที่เคยอยู่แต่ในเขาวงกต ก็หลุดมาทำร้ายบริเวณที่อยู่อาศัยรุนแรงขึ้นเท่านั้น ในขณะที่กำลังสิ้นหวัง ก็มีอีกคนถูกส่งเข้ามา แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะคนที่ถูกส่งเข้ามา คือ เทเรซ่า (Kaya Rose Scodelario) ผู้หญิงคนเดียวของเรื่อง เทเรซ่าได้นำความหวังกลับมาให้ไมเคิลอีกครั้ง จนทำให้กลุ่มชายหนุ่มแตกออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายที่อยากหาทางออกให้ได้ กับฝ่ายที่เลือกที่จะอยู่ที่เดิม

เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ทำแบบมีภาคต่อ ภาคนี้จึงเหมือนแค่การแนะนำตัวละครเท่านั้น เป็นเพียงส่วนที่เกริ่นนำก่อนนำไปสู่ภาคต่อไป ผู้กำกับจึงทิ้งปริศนาไว้มากมายหลังจบ เพื่อจะทำให้เราอยากดูภาคต่อไป ภาคนี้เวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ไปในการวิ่งในเขาวงกต ซึ่งฉากวิ่งในเขาวงกตถือว่าทำออกมาได้ดี เพราะ แม้จะมีแต่ฉากไมเคิล และมินโฮวื่งในเขาวงกตซ้ำๆ แต่ผู้กำกับภาพก็ไม่ได้ทำให้เราเบื่อ โดยเฉพาะมุมกล้องที่ทำให้การวิ่งเรื่อยๆในเขาวงกตดูตื่นเต้นขึ้นมาได้ประมาณหนึ่ง

เรื่องที่อยากพูดถึงในเรื่องนี้ คือ บทบาทของตัวละครต่างๆ โดยเรื่องนี้มีตัวละครเยอะมาก แต่ผู้กำกับไม่ได้ให้ใครเด่นเป็นพิเศษเลย ทุกตัวละครแทบจะมีบทบาทเท่าๆกัน เนื่องด้วยตัวละครที่เยอะมาก และเวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ในการวิ่งในเขาวงกต จึงทำให้ตัวละครแต่ละตัวแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ประหนึ่งมาแนะนำตัวเองเท่านั้น แม้กล้องจะใช้เวลาจับภาพอยู่ที่ภาพไมเคิล และมินโฮค่อนข้างมาก แต่ตัวละครทั้งสองตัวนี้ก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากวิ่งในเขาวงกต 

โดยส่วนตัวรู้สึกว่าบทดันมินโฮที่สุด ถ้าไม่ได้เปิดเรื่องมาด้วยไมเคิล อาจจะคิดว่ามินโฮเป็นพระเอกของเรื่องนี้ แต่ไมเคิลแม้ในภาคนี้แม้จะยังมีบทไม่มาก แต่ก็รู้สึกได้ว่าในภาคต่อๆไป น่าจะมีบทมากขึ้น สำหรับนางเอกก็คงหนีไม่พ้น เทเรซ่า เพราะ มีตัวละครหญิงแค่คนเดียว ซึ่งในภาคนี้ก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

The Artist (2011)


***SPOILED ALERT*** 
The Artist (2011) เป็นภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศส จากฝีมือผู้กำกับ Michel Hazanavicius การันตีด้วย รางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, และ ดนตรีปะกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ร่วมกับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ดนตรีปะกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, และ ภาพยนตร์ประเภทเพลงหรือตลกยอดเยี่ยม

ผู้กำกับพาเรากลับไปสัมผัสเทคนิคการจัดทำภาพยนตร์ในยุค 1927 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์เงียบ และใช้ภาพขาว/ดำ เสน่ห์ของภาพยนตร์เงียบ คือ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่จะบรรเลงประกอบตลอดทั้งเรื่อง และการแสดงแบบ overact ของนักแสดง แม้จะไม่มีเสียงพูด แต่สององค์ประกอบนี้จะทำให้เราเข้าใจอารมณ์ของตัวละครแทนการใช้เสียงพูดได้เลย

ภาพยนตร์เรื่องนี้เนื้อหาจะเน้นไปทาง Drama/Comedy แต่ก็จะมี Romantics แทรกหน่อยๆ เล่าเรื่องของนักแสดงภาพยนตร์เงียบชื่อดัง George Valentin (รับบทโดย Jean Dujardin) ในยุคเปลี่ยนผ่านจากภาพยนตร์เงียบ สู่ภาพยนตร์พูด

George Valentino เป็นนักแสดงภาพยนตร์เงียบชื่อดัง เขาเป็นที่หมายปองของหญิงสาวหลายคนในขณะนั้น 
Poppy Miller (รับบทโดย Berenice Bejo) ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งสนใจตัว George อยู่ไม่น้อยทีเดียว และก็มีเหตุการณ์บังเอิญเล็กๆที่ทำให้ทั้งคู่ได้คุยกันในช่วงเวลาสั้นๆ George ได้ให้คำแนะนำเรื่องการแสดง และได้กรุยทางให้ Poppy เข้าสู่วงการภาพยนตร์ แม้จะเริ่มจากบทตัวประกอบเล็กๆ แต่ก็นำ Poppy ไปสู่นักแสดงภาพยนตร์พูดชื่อดัง


แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีการพัฒนามากขึ้น แต่ George ผู้มีชื่อเสียงก็ยังติดอยู่กับความสำเร็จ และความถนัดเดิมของเขา คือ ภาพยนตร์เงียบ เมื่อนายทุนเสนอภาพยนตร์พูดให้เขา เขาหัวเราะเยาะภาพยนตร์ที่มีเสียงพูด แม้นายทุนจะไม่ให้ทุนสร้างภาพยนตร์เงียบแก่เขาอีกแล้ว เขาก็ลงทุนสร้างภาพยนตร์เงียบด้วยตนเอง แต่ผลตอบรับที่ได้กลับไม่ดีแบบที่เขาหวัง เงินเก็บของเขาหร่อยหรอลงทุกวัน แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมรับภาพยนตร์พูดเลย

เราอาจจะบอกได้ว่า George เป็นที่ยอมรับในด้านภาพยนตร์เงียบ เขาคงต้องใช้ความพยายามและความสามารถของตนเองมากมาย กว่าจะทำให้เป็นที่ยอมรับในระดับนี้ เขาจึงคิดว่าความสำเร็จของเขานั้นเกิดจากเขาเพียงคนเดียว ทำให้เขามองข้ามความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากคนรอบข้างที่ผสมกันผลักดันให้เขาเป็นที่ยอมรับ ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อนของผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคน แม้ว่าคนใกล้ชิดของเขาจะเป็นห่วง และยังคงอยู่เคียงข้างเขาแม้ว่าจะเขาจะตกอับ แต่เขากลับปฏิเสธทุกน้ำใจจากคนรอบข้าง แถมยังผลักไสคนเหล่านั้นออกไปจากชีวิตด้วย เพียงเพราะความทระนงตนของเขา แต่คนเหล่านั้นก็ยังแอบช่วยเขาแบบเงียบๆ

ชอบเกือบทุกอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ เจ้าหมาคู่ใจของ George (รับบทโดย Uggie) เจ้า Uggie เป็นหมาคู่ใจของ George และยังร่วมแสดงในภาพยนตร์เงียบร่วมกับ George ด้วย เจ้า Uggie เป็นหมานักแสดงอย่างแท้จริง มันสามารถถ่ายทอดความรักที่มีต่อ George และบทบาทหมานักแสดงในเรื่องได้ดีมากๆ เจ้า Uggie จะขโมยทุกซีน ที่ได้เข้ามาร่วมฉาก

โดยส่วนตัว เราจะชอบภาพยนตร์ที่ภาพสวย เพลงเพราะอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็เลยชอบมากๆ


3 ฉากนี้ เป็น 3 ฉากที่เราชอบมากๆ (เรียงตามเหตุการณ์)

1. ฉากที่ Poppy กอดตัวเองในห้องแต่งตัวของ George

ผู้กำกับออกแบบภาพนี้ได้สวยมาก ก่อนหน้านี้ เราคิดว่า Poppy ชอบ George แบบชอบดาราดังทั่วๆไป แต่ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกได้ว่า Poppy หลงใหลในตัว George มากกว่าการชอบดาราดังทั่วไป
2. ฉาก Poppy ให้สัมภาษณ์นักข่าวเกี่ยวกับภาพยนตร์พูด

แม้ทั้งคู่จะใช้สัดส่วนพื้นที่คนละครึ่งภาพ แต่ตอนที่ดูเรากลับรู้สึกว่าภาพมีพื้นที่ให้ George ที่เป็นเหมือนตัวแทนของภาพยนตร์เงียบ น้อยกว่าพื้นที่ของ Poppy ที่เป็นเหมือนตัวแทนของภาพยนตร์พูด
3. ฉาก BANG!

ไม่น่าจะมีคำว่า BANG! ไหนที่บีบหัวใจเราได้ขนาดนี้แล้วหล่ะ


วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

In the Mood for Love (2000)

***SPOILED ALERT***
In the Mood for Love ภาพยนตร์ฮ่องกง ฝีมือกำกับ โดย Wong Kar  Wai เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ Romantics Drama บอกเล่าเรื่องราวความรักที่เศร้าลึก โดยตัวผู้กำกับไม่ได้จงใจบีบให้เราร้องไห้ฟูมฟาย แต่ยิ่งดูเรากลับยิ่งเศร้าไปกับตัวละคร

คุณนายเฉิน (รับบทโดย Maggie Cheung) และคุณโจว (รับบทโดย Tony Leung) บังเอิญมาพบกัน เพราะทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเช่าข้างๆกันในวันเดียวกัน (โดยส่วนตัว เราไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ) 
ภาพยนตร์มักจะฉายภาพทั้งสองคนอยู่ตัวคนเดียวเสมอๆ แม้ว่าทั้งสองจะแต่งงานแล้ว

จนเมื่อทั้งสองจับได้ว่าสามีและภรรยาของทั้งสองเป็นชู้กัน จึงได้พูดคุยกันมากขึ้น เพื่อพยายามหาคำตอบว่าทำไมสามีและภรรยาของกันและกันจึงตกหลุมรักกันได้ แม้ความผูกพันจะเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองคน แต่พวกเขาจะทำสิ่งเดียวกับที่ทั้งสองเคยโดนกระทำมาอย่างนั้นหรือ?

ภายใต้ภาพบรรยากาศของฮ่องกงในยุค 1960s และดนตรีประกอบที่แปลกหู ทำให้ภาพยิ่งมีพลังมากขึ้น ความเศร้าที่ไม่มีน้ำตา แต่ในใจมันจะรู้สึกหน่วงๆ
เราเห็นใจตัวละครทุกตัว แต่เรารู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะไม่มีใครเศร้าเลย

ผู้กำกับได้เว้นช่องว่างในเรื่องราวให้คนดูเลือกเติมช่องว่างกันเอาเอง ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงที่เรามองไม่เห็นความเป็นไปของตัวละคร

สำหรับเรื่องนี้ สิ่งที่อยากพูดถึงที่สุด คือ คุณนายเฉิน เพราะ เป็นตัวละครที่ถูกทำให้โดดเด่นที่สุดด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามที่สุด เราคิดว่าในช่วงแรกคุณนายเฉินคงรู้สึกเสียใจ คงคิดว่าเธอบกพร่องที่ไม่สามารถทำให้สามีรักเธอคนเดียวได้ และคงโกรธคุณนายโจวที่มาแย่งสามีของเธอไป แม้เธอจะเริ่มมีใจให้กับคุณโจว แต่สุดท้ายเธอก็เลือกกลับไปหาสามีของเธอ อาจจะเป็นเพราะ เธอรักสามีเธอมาก หรือเธออาจจะเพราะทนเสียงซุบซิบนินทาจากชาวบ้านไม่ไหว หรืออาจะแค่อยากเอาชนะคุณนายโจวก็ได้

ผู้กำกับได้ให้ช่องว่างให้เราเติมเรื่องราวได้อย่างอิสระ สำหรับเรา เราคิดว่าสาเหตุที่คุณนายเฉินกลับไปหาสามี น่าจะเพราะ อยากเอาชนะคุณนายโจว และเสียงซุบซิบนินทาจากเพื่อนบ้าน เพื่อนำหัวใจของสามีของเธอ(ที่ควรจะเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว)กลับมา เพราะ ขนบล้วนบอกเธอว่าสามีของเธอก็ควรเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว และเธอก็ควรจะเป็นของสามีแต่เพียงผู้เดียว เธอดูยึดมั่นเรื่องนี้มาตลอด แม้ว่าเธอจะถูกทิ้งให้อยู่ลำพังบ่อยๆ หรือเธอจะมีโอกาสมากมายให้หนีไปกับคุณโจว แต่เธอคงไม่อยากเป็นอย่างคุณนายโจว

ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เธอก็ต้องเจ็บปวด ถ้าเธอเลือกกลับไปหาสามี เธอจะต้องเจ็บปวดกับการไม่ได้พบคุณโจวอีก และเธออาจจะต้องเจ็บปวดเรื่อยไปกับการต้องอยู่คนเดียว และสามีที่อาจจะมีชู้อีกก็ได้ (เราคิดว่าคุณนายเฉินไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยคุณเฉินได้) แต่ถ้าเธอเลือกหนีไปกับคุณโจว  เธอเองคนจะเจ็บปวด ที่ทรยศความเชื่อมั่นของตัวเอง แล้วกระทำสิ่งที่ตัวเธอเองไม่ชอบ
สุดท้ายเธอเลือกที่จะกลับไปหาสามี ซึ่งแน่นอนว่าคุณโจวจะต้องเจ็บปวดจากการโดนแย่งผู้หญิงจากผู้ชายคนเดียวกันถึงสองครั้ง

ส่วนหนึ่ง เพราะเรื่องราวเกิดในยุค 1960s ยุคที่ผู้คนไม่ได้เชิดชูความรักมากเท่ากับขนบธรรมเนียม การหย่าร้าง หรือความล้มเหลวของการใช้ชีวิตคู่ยังเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับในสมัยนั้น โดยส่วนตัวเราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนิสัยคนเรายากมาก เราคิดว่าคู่คุณนายเฉิน แม้จะยังอยู่ด้วยกัน แต่ก็เป็นไปได้ที่คุณเฉินจะมีชู้อีก เราคิดว่าถ้าหากเรายอมรับความล้มเหลวได้ แล้วให้อภัยตัวเอง และเปิดใจให้คนอื่นๆลองเข้ามาศึกษากันและกันดู อาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย เพราะ เราเชื่อในความรัก และเราเชื่อว่ามีคนที่พร้อมจะรักคุณนายเฉินเพียงผู้เดียวอยู่  หากคุณนายเฉินจะยอมเปิดใจเท่านั้น