วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

The Artist (2011)


***SPOILED ALERT*** 
The Artist (2011) เป็นภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศส จากฝีมือผู้กำกับ Michel Hazanavicius การันตีด้วย รางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, และ ดนตรีปะกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ร่วมกับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ดนตรีปะกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, และ ภาพยนตร์ประเภทเพลงหรือตลกยอดเยี่ยม

ผู้กำกับพาเรากลับไปสัมผัสเทคนิคการจัดทำภาพยนตร์ในยุค 1927 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์เงียบ และใช้ภาพขาว/ดำ เสน่ห์ของภาพยนตร์เงียบ คือ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่จะบรรเลงประกอบตลอดทั้งเรื่อง และการแสดงแบบ overact ของนักแสดง แม้จะไม่มีเสียงพูด แต่สององค์ประกอบนี้จะทำให้เราเข้าใจอารมณ์ของตัวละครแทนการใช้เสียงพูดได้เลย

ภาพยนตร์เรื่องนี้เนื้อหาจะเน้นไปทาง Drama/Comedy แต่ก็จะมี Romantics แทรกหน่อยๆ เล่าเรื่องของนักแสดงภาพยนตร์เงียบชื่อดัง George Valentin (รับบทโดย Jean Dujardin) ในยุคเปลี่ยนผ่านจากภาพยนตร์เงียบ สู่ภาพยนตร์พูด

George Valentino เป็นนักแสดงภาพยนตร์เงียบชื่อดัง เขาเป็นที่หมายปองของหญิงสาวหลายคนในขณะนั้น 
Poppy Miller (รับบทโดย Berenice Bejo) ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งสนใจตัว George อยู่ไม่น้อยทีเดียว และก็มีเหตุการณ์บังเอิญเล็กๆที่ทำให้ทั้งคู่ได้คุยกันในช่วงเวลาสั้นๆ George ได้ให้คำแนะนำเรื่องการแสดง และได้กรุยทางให้ Poppy เข้าสู่วงการภาพยนตร์ แม้จะเริ่มจากบทตัวประกอบเล็กๆ แต่ก็นำ Poppy ไปสู่นักแสดงภาพยนตร์พูดชื่อดัง


แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีการพัฒนามากขึ้น แต่ George ผู้มีชื่อเสียงก็ยังติดอยู่กับความสำเร็จ และความถนัดเดิมของเขา คือ ภาพยนตร์เงียบ เมื่อนายทุนเสนอภาพยนตร์พูดให้เขา เขาหัวเราะเยาะภาพยนตร์ที่มีเสียงพูด แม้นายทุนจะไม่ให้ทุนสร้างภาพยนตร์เงียบแก่เขาอีกแล้ว เขาก็ลงทุนสร้างภาพยนตร์เงียบด้วยตนเอง แต่ผลตอบรับที่ได้กลับไม่ดีแบบที่เขาหวัง เงินเก็บของเขาหร่อยหรอลงทุกวัน แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมรับภาพยนตร์พูดเลย

เราอาจจะบอกได้ว่า George เป็นที่ยอมรับในด้านภาพยนตร์เงียบ เขาคงต้องใช้ความพยายามและความสามารถของตนเองมากมาย กว่าจะทำให้เป็นที่ยอมรับในระดับนี้ เขาจึงคิดว่าความสำเร็จของเขานั้นเกิดจากเขาเพียงคนเดียว ทำให้เขามองข้ามความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากคนรอบข้างที่ผสมกันผลักดันให้เขาเป็นที่ยอมรับ ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อนของผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคน แม้ว่าคนใกล้ชิดของเขาจะเป็นห่วง และยังคงอยู่เคียงข้างเขาแม้ว่าจะเขาจะตกอับ แต่เขากลับปฏิเสธทุกน้ำใจจากคนรอบข้าง แถมยังผลักไสคนเหล่านั้นออกไปจากชีวิตด้วย เพียงเพราะความทระนงตนของเขา แต่คนเหล่านั้นก็ยังแอบช่วยเขาแบบเงียบๆ

ชอบเกือบทุกอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ เจ้าหมาคู่ใจของ George (รับบทโดย Uggie) เจ้า Uggie เป็นหมาคู่ใจของ George และยังร่วมแสดงในภาพยนตร์เงียบร่วมกับ George ด้วย เจ้า Uggie เป็นหมานักแสดงอย่างแท้จริง มันสามารถถ่ายทอดความรักที่มีต่อ George และบทบาทหมานักแสดงในเรื่องได้ดีมากๆ เจ้า Uggie จะขโมยทุกซีน ที่ได้เข้ามาร่วมฉาก

โดยส่วนตัว เราจะชอบภาพยนตร์ที่ภาพสวย เพลงเพราะอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็เลยชอบมากๆ


3 ฉากนี้ เป็น 3 ฉากที่เราชอบมากๆ (เรียงตามเหตุการณ์)

1. ฉากที่ Poppy กอดตัวเองในห้องแต่งตัวของ George

ผู้กำกับออกแบบภาพนี้ได้สวยมาก ก่อนหน้านี้ เราคิดว่า Poppy ชอบ George แบบชอบดาราดังทั่วๆไป แต่ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกได้ว่า Poppy หลงใหลในตัว George มากกว่าการชอบดาราดังทั่วไป
2. ฉาก Poppy ให้สัมภาษณ์นักข่าวเกี่ยวกับภาพยนตร์พูด

แม้ทั้งคู่จะใช้สัดส่วนพื้นที่คนละครึ่งภาพ แต่ตอนที่ดูเรากลับรู้สึกว่าภาพมีพื้นที่ให้ George ที่เป็นเหมือนตัวแทนของภาพยนตร์เงียบ น้อยกว่าพื้นที่ของ Poppy ที่เป็นเหมือนตัวแทนของภาพยนตร์พูด
3. ฉาก BANG!

ไม่น่าจะมีคำว่า BANG! ไหนที่บีบหัวใจเราได้ขนาดนี้แล้วหล่ะ


วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

In the Mood for Love (2000)

***SPOILED ALERT***
In the Mood for Love ภาพยนตร์ฮ่องกง ฝีมือกำกับ โดย Wong Kar  Wai เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ Romantics Drama บอกเล่าเรื่องราวความรักที่เศร้าลึก โดยตัวผู้กำกับไม่ได้จงใจบีบให้เราร้องไห้ฟูมฟาย แต่ยิ่งดูเรากลับยิ่งเศร้าไปกับตัวละคร

คุณนายเฉิน (รับบทโดย Maggie Cheung) และคุณโจว (รับบทโดย Tony Leung) บังเอิญมาพบกัน เพราะทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเช่าข้างๆกันในวันเดียวกัน (โดยส่วนตัว เราไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ) 
ภาพยนตร์มักจะฉายภาพทั้งสองคนอยู่ตัวคนเดียวเสมอๆ แม้ว่าทั้งสองจะแต่งงานแล้ว

จนเมื่อทั้งสองจับได้ว่าสามีและภรรยาของทั้งสองเป็นชู้กัน จึงได้พูดคุยกันมากขึ้น เพื่อพยายามหาคำตอบว่าทำไมสามีและภรรยาของกันและกันจึงตกหลุมรักกันได้ แม้ความผูกพันจะเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองคน แต่พวกเขาจะทำสิ่งเดียวกับที่ทั้งสองเคยโดนกระทำมาอย่างนั้นหรือ?

ภายใต้ภาพบรรยากาศของฮ่องกงในยุค 1960s และดนตรีประกอบที่แปลกหู ทำให้ภาพยิ่งมีพลังมากขึ้น ความเศร้าที่ไม่มีน้ำตา แต่ในใจมันจะรู้สึกหน่วงๆ
เราเห็นใจตัวละครทุกตัว แต่เรารู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะไม่มีใครเศร้าเลย

ผู้กำกับได้เว้นช่องว่างในเรื่องราวให้คนดูเลือกเติมช่องว่างกันเอาเอง ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงที่เรามองไม่เห็นความเป็นไปของตัวละคร

สำหรับเรื่องนี้ สิ่งที่อยากพูดถึงที่สุด คือ คุณนายเฉิน เพราะ เป็นตัวละครที่ถูกทำให้โดดเด่นที่สุดด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามที่สุด เราคิดว่าในช่วงแรกคุณนายเฉินคงรู้สึกเสียใจ คงคิดว่าเธอบกพร่องที่ไม่สามารถทำให้สามีรักเธอคนเดียวได้ และคงโกรธคุณนายโจวที่มาแย่งสามีของเธอไป แม้เธอจะเริ่มมีใจให้กับคุณโจว แต่สุดท้ายเธอก็เลือกกลับไปหาสามีของเธอ อาจจะเป็นเพราะ เธอรักสามีเธอมาก หรือเธออาจจะเพราะทนเสียงซุบซิบนินทาจากชาวบ้านไม่ไหว หรืออาจะแค่อยากเอาชนะคุณนายโจวก็ได้

ผู้กำกับได้ให้ช่องว่างให้เราเติมเรื่องราวได้อย่างอิสระ สำหรับเรา เราคิดว่าสาเหตุที่คุณนายเฉินกลับไปหาสามี น่าจะเพราะ อยากเอาชนะคุณนายโจว และเสียงซุบซิบนินทาจากเพื่อนบ้าน เพื่อนำหัวใจของสามีของเธอ(ที่ควรจะเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว)กลับมา เพราะ ขนบล้วนบอกเธอว่าสามีของเธอก็ควรเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว และเธอก็ควรจะเป็นของสามีแต่เพียงผู้เดียว เธอดูยึดมั่นเรื่องนี้มาตลอด แม้ว่าเธอจะถูกทิ้งให้อยู่ลำพังบ่อยๆ หรือเธอจะมีโอกาสมากมายให้หนีไปกับคุณโจว แต่เธอคงไม่อยากเป็นอย่างคุณนายโจว

ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เธอก็ต้องเจ็บปวด ถ้าเธอเลือกกลับไปหาสามี เธอจะต้องเจ็บปวดกับการไม่ได้พบคุณโจวอีก และเธออาจจะต้องเจ็บปวดเรื่อยไปกับการต้องอยู่คนเดียว และสามีที่อาจจะมีชู้อีกก็ได้ (เราคิดว่าคุณนายเฉินไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยคุณเฉินได้) แต่ถ้าเธอเลือกหนีไปกับคุณโจว  เธอเองคนจะเจ็บปวด ที่ทรยศความเชื่อมั่นของตัวเอง แล้วกระทำสิ่งที่ตัวเธอเองไม่ชอบ
สุดท้ายเธอเลือกที่จะกลับไปหาสามี ซึ่งแน่นอนว่าคุณโจวจะต้องเจ็บปวดจากการโดนแย่งผู้หญิงจากผู้ชายคนเดียวกันถึงสองครั้ง

ส่วนหนึ่ง เพราะเรื่องราวเกิดในยุค 1960s ยุคที่ผู้คนไม่ได้เชิดชูความรักมากเท่ากับขนบธรรมเนียม การหย่าร้าง หรือความล้มเหลวของการใช้ชีวิตคู่ยังเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับในสมัยนั้น โดยส่วนตัวเราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนิสัยคนเรายากมาก เราคิดว่าคู่คุณนายเฉิน แม้จะยังอยู่ด้วยกัน แต่ก็เป็นไปได้ที่คุณเฉินจะมีชู้อีก เราคิดว่าถ้าหากเรายอมรับความล้มเหลวได้ แล้วให้อภัยตัวเอง และเปิดใจให้คนอื่นๆลองเข้ามาศึกษากันและกันดู อาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย เพราะ เราเชื่อในความรัก และเราเชื่อว่ามีคนที่พร้อมจะรักคุณนายเฉินเพียงผู้เดียวอยู่  หากคุณนายเฉินจะยอมเปิดใจเท่านั้น